บทที่ 5 ตลาดเงิน ตลาดทุนระหว่างประเทศ
ตลาดเงิน (Money Markets) ตลรดที่ให้ผู้กู้ยอมรับสินทรัพย์การเงินระยะสั้นในขณะที่ผู้กู้ได้รับเงินเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
ตลาดทุน (Capital Markets) ตลาดที่มีการออก + ซื้อขายสินทรัพย์การเงินระยะยาว เช่น พันธบัตร, หุ้นจำนอง + หุ้นหรือหลักทรัพย์ทั่วๆ ไป
ตลาดการเงินระหว่างประเทศ เป็นแหล่งที่ผู้กู้ + ผู้ให้กู้มาพบกันในลักษณะการให้กู้ยืมเงินระหว่างกัน โดยผู้กู้ + ผู้ให้กู้อาจจะอยู่คนละประเทศ ซึ่งใช้สกุลเงินต่างกัน หรือความต้องการกู้ยืมหรือให้กู้ยืมในรูปสกุลเงินที่ต่างจากสกุลเงินที่ใช้ในประเทศของตน
สิ่งสำคัญที่ผลักดันให้เกิดตลาดการเงินระหว่างประเทศ คือ การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายกระแสเงินทุนจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง หรือเกิดจากการที่ตลาดการเงินภายในประเทศ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้กู้ + ผู้ให้กู้ได้เพียงพอ ทำให้ผู้กู้ + ผู้ให้กู้แสวงหาแหล่งเงินทุน + ผลประโยชน์จากภายนอกประเทศ
บทบาทของตลาดการเงินระหว่างประเทศ
1. เป็นตัวเชื่อมโยงระบบการเงินภายในประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน 1*
2. มีบทบาทของตนเองเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ต้องการใช้เงินทุน + ผู้ลงทุนจากประเทศต่างๆ ที่ต้องการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในการหาเงินทุนภายในประเทศของตน ซึ่งเกิดจากกฎหมาย, ระเบียบข้อบังคับต่างๆ ยังต้องการหาแหล่งเงินทุนที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนดีที่สุด หรือในต้นทุนที่ต่ำที่สุด2*
1* ตัวเชื่อมโยงที่สำคัญคือ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราสกุลต่างๆ เช่น
2* ผู้กู้ จะใช้ประโยชน์จากตลาดการเงินระหว่างประเทศ ได้ 2 ทาง คือ
1. ระดมเงินทุนโดยออกตราสารจำหน่ายโดยตรงแก่ผู้ให้กู้ในต่างประเทศ
2. ใช้เงินทุนระหว่างประเทศ โดยกู้จากสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่ระดมทุนจากต่างประเทศโดยตรง เพื่อนำมาปล่อยกู้อีกทอดหนึ่ง
ผู้ให้กู้ ใช้ประโยชน์จากตลาดการเงินระหว่างประเทศโดย
1. ลงทุนซื้อตราสารที่จำหน่ายในตลาดการเงินระหว่างประเทศโดยตรง
2. ให้กู้ผ่านสถาบันการเงินในประเทศ ซึ่งทำหน้าที่ระดมเงินออมในประเทศ + ให้กู้แก่ต่างประเทศ
ประเภทของตลาดการเงินระหว่างประเทศ + ตราสารการเงิน
1. ตลาดเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ หรือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
ตัวอย่าง พ่อค้า USA. สั่งซื้อสินค้าจาก Thai โดยขอจ่ายเงินเป็น US $ ให้แก่ผู้ส่งออกไทย ซึ่งการชำระเงินระหว่างประเทศนั้นต้องผ่านธนาคารพาณิชย์ในแต่ละประเทศ ดังนั้น ธนาคารใน USA. จะหักบัญชีเงินฝากสกุล US $ ของผู้นำเข้าชาว USA. เพื่อจ่ายชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับผู้ส่งออกชาวไทย โดยส่งผ่านธนาคารของไทยเข้าบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่จะเป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้ส่งออกชาวไทย เมื่อผู้ส่งออกชาวไทยได้รับเงินเป็น US $ แต่ต้องการใช้เงินบาทในไทย จึงต้องขายเงิน $ ให้กับธนาคารพาณิชย์ เพื่อแลกเป็นเงินบาท ดังนั้นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจึงเป็นการแลกบัญชีเงินฝากระหว่างผู้เกี่ยวข้อง
2. ตลาดเพื่อการให้สินเชื่อระหว่างประเทศ เป็นตลาดที่เกิดจากการโอนเงินออมจากประเทศหนึ่งไปยังผู้ต้องการใช้เงินทุนในอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ
2.1 ผู้ต้องการใช้เงินทุนหรือผู้กู้ ออกตราสารที่เป็นหนังสือสัญญาใช้เงินคืนเมื่อครบกำหนดขายให้กับผู้ให้กู้หรือผู้ลงทุนโดยตรง
2.2 สถาบันการเงินออกตราสารหรือระดมทุนจากผู้ออก+ นำเงินที่รวบรวมได้ไปให้แก่ผู้ที่ต้องการใช้เงินทุน
ตลาดนี้เป็นตลาดที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินระหว่างประเทศหรือเรียกว่า ตลาดทุนระหว่างประเทศ (International Capital Market)
3. ตลาดเพื่อการลงทุนระหว่างประเทศ เป็นลักษณะไปถือหุ้นของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ
ประเภทของตราสารทางการเงิน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ตราสารนั้นออกไปจำหน่าย + สัญชาติของผู้กู้ มี 3 ประเภท คือ
1. ตราสารในประเทศ (Domestic Issue) ตราสารที่ออกจำหน่ายโดยผู้กู้ที่เป็นคนในประเทศ เพื่อระดมทุนจากตลาดในประเทศ เช่น พันธบัตรรัฐบาลไทยสกุลเงินบาทออกโดยรัฐบาลไทย+ออกจำหน่ายในประเทศไทย
2. ตราสารต่างประเทศ (Foreign Issue) ตราสารที่ผู้กู้เป็นชาวต่างชาติ ออกจำหน่ายในประเทศหนึ่ง เพื่อระดมเงินทุนจากตลาดของประเทศนั้นไปใช้ในกิจการ เช่น
3. ตราสารยูโร (Euro Issue) ตราสารที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ข้อจำกัดในประเทศเจ้าของสกุลเงิน ซึ่งเป็นตราสารที่ออกกู้ในตลาดการเงินระหว่างประเทศ+ออกจำหน่าย+หมุนเวียนอยู่ภายนอกอาณาบริเวณของประเทศที่เป็นเจ้าของสกุลเงินนั้นๆ ซึ่งรู้จักในชื่อของตลาดยูโร (Euromarket, OffShore Market, External Market) เช่น ผู้กู้ชาวญี่ปุ่นออกพันธบัตรเงินกู้สกุลดอลลาร์เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ลงทุนนอกประเทศ USA. ตราสารที่ออกนี้เรียกว่า ตราสารยูโรดอลลาร์
ตลาดการเงินระหว่างประเทศ
เป็นตลาดที่มีการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินหรือตราสารการเงินระหว่างประเทศที่มีอายุตั้งแต่
1 วัน ถึง 1 ปี จึงถือได้ว่าเป็นแหล่งระดมเงินทุนระยะสั้นที่หน่วยงานเอกชนหรือ
รัฐบาลสามารถออกหาทุนหรือลงทุนในตลาดต่างประเทศได้
โดยไม่ติดข้อจำกัดหรือกฎหมายภายในประเทศของตนเอง
การลงทุนในตลาดเงินระหว่างประเทศ ทำได้ 3 ลักษณะ คือ
1. ลงทุนซื้อตราสารระยะสั้นที่ออกจำหน่ายในตลาดยูโร
2. ลงทุนซื้อตราสารระยะสั้นในตลาดประเทศใดประเทศหนึ่ง (เช่น ชาวต่างชาติลงทุนซื้อตราสารในประเทศ (Domestic Issue) หรือ ตราสารต่างประเทศ (Foreign Issue) ในตลาดการเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง
3. การฝากเงินตราต่างประเทศ กับสถาบันการเงินซึ่งฝากได้ในลักษณะ
ตลาดเงินระหว่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่
(1) ตลาดยูโร เป็นตลาดที่รับฝาก+ให้กู้เงินสกุลต่างๆ ที่หมุนเวียนอยู่นอกประเทศของผู้เป็นเจ้าของสกุลเงิน + อยู่นอกการควบคุมของประเทศ เจ้าของสกุลเงิน จะเกิดขึ้นได้ในประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดการถือครองเงินตราต่างประเทศของสถาบันการเงินต่างๆ
ตลาดยูโรเกิดขึ้นจาก
1. ความต้องการฝากเงิน $ นอกประเทศ USA. ของกลุ่มประเทศสังคมนิยม+คอมมิวนิสต์ (จีน รัสเซีย + ยูโรปตะวันออกอื่นๆ) ที่ถือครองเงิน $ แต่ไม่ต้องการฝากเงินใน USA. เนื่องจากมีการปกครองต่างระบบกัน จึงนำเงินนี้มาฝากในตลาดยุโรป
2. อังกฤษห้ามสถาบันการเงินในอังกฤษให้กู้ยืมเงินปอนด์สเตอริง แก่ประเทศต่างๆ ทำให้มีการกู้ยืมในสกุล $ สูงขึ้น
3. การผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ในตลาดการเงินสหรัฐอเมริกา
4. การใช้จ่ายเงิน $ ในต่างประเทศของ USA. เช่น การใช้จ่ายในสงครามเวียดนาม ทำให้ $ ออกไปหมุนเวียนนอกประเทศ USA. มากขึ้น
5. เพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของ USA. ที่ต่ำมาก เนื่องจาก Regulation Q. โดยจำกัดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของเงินฝากประจำที่ธนาคารพาณิชย์จะจ่ายให้กับลูกค้าจึงทำให้มีการโอนเงินออกจากธนาคารพาณิชย์ของ USA. ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ แทน
การที่ตลาดยูโรสกุลใดจะดำรงอยู่ได้นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย ดังนี้
1. การโอนเงินตราสกุลนั้นๆ ระหว่างประเทศจะต้องทำได้โดยเสรี
2. แม้ว่าตลาดยูโรจะไม่ได้อยู่ในประเทศ เจ้าของสกุลเงิน แต่การหักบัญชีระหว่างกันยังต้องทำในประเทศเจ้าของสกุลเงิน จึงต้องไม่มีข้อจำกัดห้ามชาวต่างชาติถอนเงินฝากที่เหลืออยู่ในธนาคารพาณิชย์ในประเทศเจ้าของสกุลเงินนั้นได้
3. ตลาดยูโรได้เปรียบตลาดในประเทศในด้านต้นทุนค่าใช้จ่าย
(2) ตลาดเงินในประเทศสำคัญๆ ที่มีตลาดเงินพัฒนาแล้ว มีดังนี้
2.1 ตลาดเงินสหรัฐอเมริกา เป็นตลาดเงินที่พัฒนาแล้วและมีขนาดใหญ่มาก มีตราสารหลายประเภทซื้อขายในตลาด 80% ของตราสารที่ทำการซื้อขายนี้เป็นตั๋วเงินคลังรัฐบาลอเมริกา ซึ่งเป็นที่นิยมของนักลงทุนเพราะมีความเสี่ยงต่ำ+รัฐบาล USA. ค้ำประกันการชำระหนี้เต็มจำนวน ตราสารอีกชนิดหนึ่งคือ ตราสารพาณิชย์ (Commercial Paper), ตั๋วเงินฝาก (CD) ตั๋วแลกเงินที่ธนาคารรับรอง (Bankers Acceptance)
2.2 ตลาดเงินอังกฤษ มีลักษณะเฉพาะตัวในการทำหน้าที่จัดการให้เงินทุนกระจายไปยังผู้ต้องการลงทุนโดยธนาคารกลางแห่งประเทศอังกฤษจะดำเนินการผ่าน Discount Houses ที่เป็นสถาบันการเงินทำหน้าที่ซื้อลดตั๋วแลกเงินประเภทต่างๆ แทน ดังนั้นตลาดเงินอังกฤษจึงมีตลาดซื้อลด (Discount Market) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญเพื่อปรับสภาพคล่องในตลาดเงินให้สมดุล
Discount Houses มีหน้าที่ดังนี้
1. ให้กู้ และรับฝากเงินประเภทเผื่อเรียก
2. ซื้อขายตั๋วเงินคลังรัฐบาล
3. รับซื้อลดตั๋วแลกเงินที่ธนาคารรับรองแล้ว และตราสารประเภทอื่นๆ
4.
ให้ความช่วยเหลือในการจัดหาเงินทุนของรัฐบาลระยะสั้นๆ
ทางอ้อม โดยการรับซื้อขายพันธบัตร
รัฐบาลที่มีอายุใกล้ครบกำหนด
5. เป็นแหล่งเงินทุนระยะสั้นสำหรับธุรกิจพาณิชย์ และอุตสาหกรรมต่างๆ
ตราสารที่ทำการซื้อขายในตลาดเงินของประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรระยะสั้นของรัฐบาลท้องถิ่น (Local Authority Bills and Short Bonds) ตั๋วเงินฝากตราสารพาณิชย์ และเงินฝากประเภทต่างๆ
2.3 ตลาดเงินในประเทศญี่ปุ่น จะมีการพัฒนาช้ามาก เพราะถูกควบคุมโดยธนาคารกลางแห่งประเทศญี่ปุ่นโดยควบคุมอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินผ่านการปรับปรุงอัตราซื้อลดทางการ (Official Discount Rate) แต่ระยะหลังญี่ปุ่นเริ่มผ่อนคลายกฎระเบียบ + แก้ไขกฎหมาย ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินและการค้าระหว่างประเทศ จึงอนุญาตให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศอย่างเสรี ตราสารที่ซื้อขายในตลาดญี่ปุ่น ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง ตั๋วการค้า (Commercial Bills) ซึ่งมีลักษณะเดียวกับตั๋วแลกเงินที่ธนาคารรับรองแล้ว (Bankers Acceptance) ของ USA. เงินฝากต่างๆ (เผื่อเรียก ประจำ) ตั๋วเงินฝาก ตราสารพาณิชย์ ตลาดซื้อคืนของญี่ปุ่น (Gensaki)
Short Term Debt Markets
ตราสารต่างๆ ที่ใช้ในตลาดเงินระหว่างประเทศ/เครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในตลาดเงินระหว่างประเทศ
ตราสารระยะสั้นที่ออกจำหน่ายในตลาดยูโร
1. ตั๋วเงินฝากยูโร (Eurocurrency Certicficate of Deposit -? Euro CD)
เงินฝากประจำ |
CD |
|
1. โอนเปลี่ยนมือไม่ได้ |
|
|
2.
ไถ่ถอนก่อนกำหนดได้
โดยเสียค่าปรับส่วน หนึ่งจากดอกเบี้ยที่พึงได้รับ |
2. ไถ่ถอนได้เมื่อครบกำหนดเท่านั้น | |
3.
จำนวนเงินฝากมากหรือน้อยได้ตามความ
ต้องการของผู้ฝาก |
3.
จำนวนเงินฝากต้องเป็นวงเงินที่สูง
เช่น $ 1,000,000 ขึ้นไป |
|
4. อัตราดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้ | 4. อัตราดอกเบี้ยตามที่ตราไว้บนตั๋วเงินฝาก |
ตั๋วเงินฝากยูโรมักจะระบุแน่ชัดว่าเป็นเงินสกุลใด
เช่น
ตั๋วเงินฝากยูโรดอลลาร์
(Eurodollar CD)
หมายถึง CD สกุลเงิน $
ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ใน
USA, ตั๋วเงินฝากยูโรเยน (Euroyen
CD)
หมายถึงตั๋วเงินฝากสกุลเยนที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในญี่ปุ่น
Eurocurrency CD ได้เปรียบกว่า Domestic CD (ตั๋วเงินฝากที่ออกจำหน่ายตลาดในประเทศ) คือ มีสภาพคล่องสูงกว่า & ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เนื่องจากธนาคารที่ออก CD นี้ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศเจ้าของสกุลเงิน เพราะอยู่นอกอาณาเขตประเทศเจ้าของสกุลเงิน การที่ตั๋วเงินฝากยูโรโอนเปลี่ยนมือได้ ทำให้มีสภาพคล่องสูงกว่าเงินฝากประจำทั่วไป ดังนั้น อัตราผลตอบแทนจึงต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากประจำ (ประมาณ 1/8%-1/4% ในช่วงตลาดปกติ)
1.2 Euronotes และ Euro Commercial Paper (ECP)
(1) Euronotes เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น ออกโดยองค์กรธุรกิจหรือรัฐบาลเพื่อหาเงินทุนระยะสั้นจากตลาดยูโร ซึ่งมีลักษณะโอนเปลี่ยนมือได้โดยการส่งมอบ (Bearer Form) จะออกจำหน่ายโดยมีอัตราดอกเบี้ยตราไว้ (หรือไม่มีอัตราดอกเบี้ยตราไว้) หรือขายลดให้กับนักลงทุน (On Discount Basis) ก็ได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในสกุล US $ และหน่วยการเงินยุโรป ดอกเบี้ยจ่ายจะไม่ถูกหักภาษีใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยเต็มจำนวนและจะมีอายุประมาณ 1, 3+6 เดือน การออกจำหน่ายแต่ละครั้งอยู่ระหว่าง US $ 100-200 ล้าน
(2) Euro Commercial Paper (ECP) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นออกโดยองค์กรธุรกิจหรือรัฐบาล เพื่อหาทุนระยะสั้นจากตลาดยูโร แต่มีขนาดใหญ่กว่าตลาด Euronote ECP จะมีลักษณะโอนเปลี่ยนมือได้โดยการลงส่งมอบและไม่มีอัตราดอกเบี้ยตราไว้โดยขายลดให้แก่ผู้ลงทุน อายุของ ECP ที่ออกจำหน่ายมี
อายุตั้งแต่ 7-365 วัน แต่ที่มีอยู่ในตลาดส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่า 80-180 วัน การออกจำหน่ายแต่ละครั้งส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง US. $ 200-300 ล้าน และจะอยู่ในสกุล US.$ และหน่วยการเงินยุโรป ผู้ลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยเต็มจำนวนโดยไม่ถูกหักภาษี Euronotes % ECP มีลักษณะเหมือนกันมาก บางแห่งอาจจะจัดตราสารทั้ง 2 นี้ เป็นตราสารชนิดเดียวกัน
1.3 เงินฝากยูโร (Eurocurrency Deposit) เป็นการฝากเงินตราต่างประเทศกับธนาคารพาณิชย์ที่อยู่นอกอาณาเขตของประเทศเจ้าของเงินสกุลนั้นๆ โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้ขณะที่ฝากเงิน ซึ่งจะเป็นเงินฝากระยะสั้น เช่น เงินฝากข้ามคืน (Overnight) เงินฝากเผื่อเรียก (Call Deposit) เงินฝากประจำ ผู้ฝากเงินในตลาดยูโรจะเป็นธนาคารพาณิชย์, ธนาคารกลาง และบริษัทที่มีธุรกิจระหว่างประเทศ และจะเป็นเงินสกุลสำคัญๆ ของโลก เช่น US.$, Yen, DM, SwFr, Ffr. เป็นต้น
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยูโรของเงินแต่ละสกุลจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศ เนื่องจากเงินฝากยูโรนั้น ธนาคารพาณิชย์ผู้รับฝากไม่ต้องกันวงเงินฝากส่วนหนึ่งเป็นเงินสดสำรองตามกฎหมาย
2. ตราสารระยะสั้นที่ออกในประเทศใดประเทศหนึ่ง
(Domestic Money Market Instruments)
ซึ่งนักลงทุนชาวต่างชาติสามารถไปลงทุนซื้อตราสารที่ออกในประเทศนั้นได้
โดยไม่ขัดกับกฎหมายของประเทศนั้นๆ
ประกอบด้วย
2.1 ตั๋วเงินคลัง (Treasury bills) หลักฐานการเป็นหนี้ระยะสั้นของรัฐบาลที่รัฐออกให้แก่ผู้ลงทุน เพื่อหาเงินทุนระยะสั้นมาชดเชยงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลมีอายุ 3, 6, 12 เดือน ออกจำหน่ายโดยให้ผู้ลงทุนประมูลซื้อตั๋วเงินคลัง โดยรัฐบาลจะจ่ายชำระคืนต้นเงินเมื่อครบกำหนดที่ราคา Par หรือ 100 ผู้ใดประมูลส่วนลดต่ำสุดจะเป็นผู้ประมูลได้ ถ้าผู้ประมูลได้จะซื้อตั๋วเงินคลังในราคาต่ำกว่า 100 จะได้รับชำระคืนที่ 100
2.2 Repurchase Agreement (Repo หรือ RP) มีลักษณะเป็นการลงทุนระยะสั้น ซึ่งถ้าต้องการใช้เงินทุนระยะสั้นมีหลักทรัพย์อยู่ก็เอาหลักทรัพย์นั้นไปขอกู้เงินจากผู้ต้องการลงทุนโดยใช้หลักทรัพย์นั้น ค้ำประกันการกู้เงิน การดำเนินงาน คือ
(1) ขายหลักทรัพย์ดังกล่าวให้ผู้ลงทุนโดยมีสัญญาซื้อคืนเมื่อครบกำหนด (Sale repurchase Agreement) เช่น 1 วัน, 3 วัน, 7 วัน, 1 เดือน ระยะเวลาของการซื้อคืนอยู่ที่ข้อตกลงของผู้ให้กู้และผู้กู้
(2) หากเป็นการซื้อโดยมีสัญญาชายคืน เรียกว่า Reverse Repurchase Agreement หรือ Reverve Repo เช่น
นักลงทุนชาวญี่ปุ่น มีเงิน US.$ ต้องการลงทุนระยะสั้นในตลาดเงิน USA โดยลงทุนในตลาดซื้อคืน (Repurchase Market) และรับซื้อหลักทรัพย์รัฐบาล USA จากสถาบันการเงินใน USA เนื่องจากสถาบันแห่งนั้นขาดแคลนเงินทุนระยะสั้น โดยมีสัญญาว่าจะขายหลักทรัพย์คืนให้เมื่อครบกำหนดสัญญา อัตราผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดซื้อคืนจะต่ำกว่าการให้กู้ยืมโดยทั่วไป เพราะมีความปลอดภัยสูง
2.3 Bankers Acceptace (Bas) ตั๋วแลกเงินชนิดเรียกเก็บเงินเมื่อถึงกำหนด (Time Bill) ที่เกิดขึ้นจากการค้าหรือการเงินระหว่างเป็นตั๋วแลกเงินที่ได้รับการรับรองการจ่ายเงินจากธนาคารที่ประทับตราลงนามในตั๋วแลกเงินใบนั้น BAs ส่วนใหญ่เกิดจากการค้าระหว่างประเทศ เช่น เมื่อผู้ส่งออกส่งสินค้าลงเรือแล้ว ผู้ส่งออกก็ทำตั๋วแลกเงินส่งไปเรียกเก็บเงินจากผู้นำเข้าต่างประเทศผ่านธนาคารในประเทศของตน เนื่องจากผู้ส่งออกให้เครดิตแก่ผู้นำเข้า 60 วัน ตั๋วแลกเงินจึงมีอายุ 60 วัน เมื่อครบกำหนด 60 วัน ผู้ส่งออกก็จะได้รับเงินตามตั๋วเงินโดยผู้นำเข้าตั๋วเงินชนิดเรียกเก็บเมื่อครบกำหนดไปขอให้ธนาคารของผู้นำเข้าประทับตรา และลงนามรับรองการจ่ายเงินนั้น หากผู้นำเข้าบิดพลิ้ว ผู้ส่งออกสามารถเรียกร้องให้ธนาคารที่รับรองตั๋วเงินชำระแทนผู้นำเข้าได้ เนื่องจากตั๋วแลกเงินมีอายุการเรียกเก็บเงิน ถ้าผู้ส่งออกต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน ก็อาจนำเอาตั๋วแลกเงินที่ผ่านการรับรองไปขายลดให้กับสถาบันการเงินต่างๆ BAs ส่วนใหญ่จะมีอายุประมาณ 3 เดือน
2.4 ตราสารพาณิชย์ (Deomestic Commercial Paper CP) ตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวนแน่นอนและมีกำหนดชำระเงินแน่นอนในอนาคต ตราสารพาณิชย์นี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ โดยการส่งมอบ (Bearer Form) การออกตราสารพาณิชย์จะออกโดยการขายลดให้แก่ผู้ลงทุนเพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน โดยเฉลี่ย CP มีอายุต่ำกว่า 30 วัน
2.5 ตั๋วเงินฝากในประเทศ (Domestic Certificate of Deposit CP) เป็นหลักฐานการรับฝากเงินที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ฝากเงินที่เป็นวงเงินฝากจำนวนสูง มีกำหนดวันจ่ายชำระคืนแน่นอน มีอัตราดอกเบี้ยกำหนดไว้ สามารถโอนเปลี่ยนมือได้ (Negotiability CD) อาจมีทั้งกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate CD) + อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate CD/Variable Rate CD) ส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่าง 1-3 เดือน ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยจะคำนวณจากวันจริงที่ถือครองต่อปี (360 วัน) การออก CD จะมีต้นทุนที่สูงกว่าตั๋วเงินฝากยูโร เพราะเงินที่ระดมได้จากการออกตั๋วเงินฝากนี้ส่วนหนึ่งจะต้องถูกกันไว้เป็นเงินสดสำรองตามกฎหมาย
(International Capital Market)
ตลาดทุนระหว่างประเทศ เป็นแหล่งระดมทุนและแหล่งลงทุนของผู้ที่ต้องการใช้เงินทุน และผู้ที่มีเงินทุนระยะยาวเกินกว่า 1 ปี ซึ่งการระดมทุนระยะยาวทำได้ 2 ลักษณะ คือ
1. การออกตราสารการเป็นหนี้ (Debt Instruments) ให้แก่ผู้ลงทุน เช่น พันธบัตรเงินกู้ต่างๆ (Bonds) ผู้ออกได้แก่ องค์การธุรกิจ สถาบันการเงิน รัฐบาล โดยผู้กู้จะจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ให้กู้ในรูปดอกเบี้ยใน (Bond Market)
2. การจำหน่ายหุ้นให้แก่ผู้ลงทุน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการใน (Equities Market)
ตลาดทุนระหว่างประเทศที่สำคัญ
1. ตลาดพันธบัตรในประเทศ (Domestic Bonds Market) ทำการซื้อขายพันธบัตรในประเทศ (Domestic Bonds) และพันธบัตรต่างประเทศ (Foreign Bonds)
1)
รัฐบาลกลาง (Federal Government)
ออกพันธบัตรเงินกู้เพื่อหาเงินทุนมาชดเชยงบ
ประมาณขาดดุลของรัฐบาล
โดยอาจจะออกพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยคงที่
ทั้งระยะปานกลาง 2-10 ปี (U.S.
Treasury Notes) พันธบัตรระยะเวลา
10-30 ปี (U.S. Treasury Notes)
และสถาบันการเงินต่างๆ
และผู้ค้าพันธบัตร (Dealer)
มีราคาตั้งแต่ใบละ $5,000 - $10,000
และ $50,000
กำหนดจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2
ครั้ง
โดยคำนวณจากวันจริงที่ถือครองต่อปี
(365 วัน)
2) พันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาลกลาง (Federal Agencies) ออกเพื่อระดมทุนจากภาคเอกชนไปใช้ในกิจการของรัฐ เพื่อให้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ทางด้าน Econ. + So. บางอย่าง
3) พันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลท้องถิ่น
4) พันธบัตรที่ออกโดยเอกชน (Corporate Bonds) จะให้ผลตอบแทนสูงสุด
5) พันธบัตรที่ออกโดยคนต่างชาติ (Foreign Bons) เช่น Yankee Bonds พันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานธุรกิจใน USA. ที่รู้จักกันมากอีกประเภทหนึ่งคือ Hight Yield Bonds หรือ Junks Bonds เป็นพันธบัตรที่มีความเสี่ยงสูงไม่เหมาะที่จะถือไว้เพื่อการลงทุน พันธบัตรนี้มักจะเสนอผลตอบแทนต่อผู้ลงทุนสูงมาก
1.2 ตลาดพันธบัตรในญี่ปุ่น
มีขนาดใหญ่อันดับ 2
รองจากใน USA 92%
เป็นพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลกลาง,
รัฐบาลท้องถิ่น, เทศบาล
และธนาคาร 5%
จะออกโดยเอกชน
พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมีอายุ
ตั้งแต่ 2, 3, 4, 10 ปี และ 20 ปี
กำหนดจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2
ครั้ง โดยคำนวณจากวันจริงต่อปี
(365) วัน
วิธีการออกจำหน่ายจะทำ 2
วิธีคือ
1. การเปิดประชุมขายให้กับสถาบันการเงินต่างๆ
2. ขายโดยวิธีดั้งเดิมของตลาด โดยการเจรจาต่อรองและปันส่วนให้กับสถาบันการเงินต่างๆ (Syndication)
นอกจากนี้ตราสารที่ซื้อขายกันแพร่หลายในตลาดทุนญี่ปุ่นอีกประเภทหนึ่งคือ หุ้นกู้ (Financial Debentures) ซึ่งออกโดยธนาคารเพื่อการให้สินเชื่อระยะยาว ธนาคารพาณิชย์มีอายุระหว่าง 1-10 ปี หุ้นกู้ที่อายุ 1-5 ปี มักจำหน่ายโดยไม่มีอัตราดอกเบี้ยกำหนดให้ จะชายลดให้กับผู้ลงทุน ในขณะที่หุ้นกู้อายุ 5-10 ปี จะมีอัตราดอกเบี้ยตราไว้ จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง หุ้นกู้นี้จะให้อัตราผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล 0.45% ซึ่งจะมีอยู่ในตลาด 25%
พันธบัตรต่างประเทศ (Foreign Bonds) ในญี่ปุ่นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. Samurai Bonds พันธบัตรสกุลเยนที่ออกโดยผู้กู้ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นจำหน่ายให้แก่ผู้ลงทุนชาวญี่ปุ่น ผู้กู้รายแรกในตลาด คือ ธนาคารพัฒนาเอเซีย (Asian Development Bank)
2. Shogun Bonds พันธบัตรเงินตราต่างประเทศที่ไม่ใช่เงินเยนออกจำหน่ายให้แก่ผู้ลงทุนในญี่ปุ่น โดยผู้กู้ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น ผู้กู้คือ ธนาคารโลก
(1)
พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว
อายุระหว่าง 8-10 ปี
ออกเพื่อใช้ในกิจการต่างๆ
เช่น
การไปรษณีย์, การรถไฟ,
การรวมเยอรมันเข้าด้วยกัน
(2) พันธบัตรระยะปานกลาง อายุ 5 ปี
ประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาล, พันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น, พันธบัตรองค์กรธุรกิจต่างๆ และพันธบัตรต่างประเทศ ที่เรียกว่า Bulldog Bonds พันธบัตรรัฐบาลอังกฤษที่มีความเชื่อถือมากที่สุดในประเทศคือ Gilt มี 3 ประเภทคือ
(1) Gilt ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ตราไว้ (Fixed Coupon Bond) เป็นพันธบัตรเงินกู้ที่มีกำหนดชำระคืนแน่นอน
(2) Indes-Linked เป็นพันธบัตรที่มีมูลค่าการจ่ายเงินต้น-ดอกเบี้ย เชื่อมโยงกับดัชนีราคาขายปลีก (Retail Price index) ของ UK
(3) Gilt ที่ไม่มีกำหนดชำระเงินต้นคืน ซึ่งออกในช่วง WW.II + หลังจากนั้นก็ไม่มีการออกพันธบัตรชนิดนี้อีกเลย
ตลาด Gilt จะเปิดให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนได้โดยเสรี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง ซึ่งการจำหน่าย Gilt ทำได้หลายลักษณะ คือ
2. ตลาดพันธบัตรยูโร (Euro Bond Market) จำแนกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
2.1 พันธบัตรอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Straight Bonds/Fixed Rate Bonds) เป็นพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละงวดไม่เท่ากันตลอดอายุของพันธบัตรขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน ในขณะที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยในแต่ละงวด อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดมักจะใช้ฐานอัตราดอกเบี้ยในตลาดลอนดอน เช่น Libid (London Interbank Bid Rate), Libor (London Interbank Offered Rate), Limean (London Interbank Mean Rate) พันธบัตรประเภทนี้รู้จักกันในชื่อ Floating Rate Notes Frns
ผู้กู้ในตลาดพันธบัตรยูโรมีทั้งบริษัทธุรกิจระหว่างประเทศต่างๆ, รัฐบาล, องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าทุกเดือนมีจำนวนวันเท่ากัน คือ 30 วัน และมี 360 วัน ใน 1 ปี
เครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในตลาดทุนระหว่างประเทศ
พันธบัตรที่จำหน่ายในตลาดทุนระหว่างประเทศ มี 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. พันธบัตรในประเทศ (Domestic Bonds) เป็นตราสารกู้เงินในประเทศที่ออกโดยผู้กู้ที่มีถิ่นพำนักในประเทศนั้น จำหน่ายให้แก่ผู้ลงทุนประเทศเดียวกันนั้นและในสกุลเงินของประเทศนั้น ซึ่งเป็นตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยตราไว้หรือไม่ตราไว้ก็ได้เช่น พันธบัตรรัฐบาลไทยสกุลเงินบาทออกจำหน่ายโดยรัฐบาลไทยให้แก่ผู้ลงทุนในประเทศไทย
2. พันธบัตรต่างประเทศ (Foreign Bonds) เป็นตราสารเงินกู้ที่ออกจำหน่ายในประเทศหนึ่งในสกุลเงินของประเทศนั้น แต่ผู้ออกตราสารหรือผู้กู้ไม่มีถิ่นพำนักในประเทศนั้น เช่น Samurai Bonds, Yankee Bonds, Bulldog Bonds ซึ่งพันธบัตรต่างประเทศมีชื่อเรียกต่างๆ กันในแต่ละประเทศดังนี้
สกุลเงินที่กู้ |
จำหน่ายในประเทศ |
ชื่อเรียกพันธบัตรที่ออกโดยคนต่างชาติ หรือพันธบัตรต่างประเทศ |
U.S.$ ปอนด์สเตอริงค์ Nz $ Aus. $ เปเวตาสเปน เยนญี่ปุ่น กิลเตอร์เนเธอร์แลนด์ |
U.S.A. U.K. นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สเปน ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ |
Yankee Bulldog Kiwi Kangkaroo Matador Samurai รอมบรันต์ (Rembrndt) |
3. พันธบัตรยูโร (Eurobonds) เป็นตราสารการเป็นหนี้ที่ออกจำหน่ายนอกประเทศ เจ้าของเงินสกุลนั้นๆ เป็นตราสารชนิดที่มีอัตราดอกเบี้ยตราไว้หรือไม่ก็ได้ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนิดของพันธบัตรนั้นๆ ได้แก่
3.1 Straight Bond พันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยกำหนดไว้แน่นอน ซึ่งเรียกว่า Coupon มีวันจ่ายชำระคืนแน่นอน
3.2 Couvertibles เป็นตราสารการเป็นหนี้ที่ผู้กู้ได้แก่ องค์กรธุรกิจต่างๆ ออกจำหน่ายให้แก่ผู้ลงทุน โดยตราสารการเป็นหนี้นี้มีเงื่อนไข ที่ผู้ถือตราสารสามารถเปลี่ยนตราสารการเป็นหนี้ให้เป็นหุ้นสามัญได้ในราคาที่กำหนดไว้และในวันที่กำหนด หากราคาหุ้นสามัญของธุรกิจที่ออกตราสารนี้สูงขึ้น ตราสารประเภทนี้จะมีการซื้อขายลักษณะกึ่งหุ้น (Quasi-Equity) ทันที พันธบัตรที่ออกจำหน่าย โดยมี Warants หรือสิทธิซื้อหุ้นติดอยู่ด้วย ก็จัดว่าเป็น Convertibles
3.3 Floating Rate Notes (Frns) เป็นพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่ออกจำหน่ายในตลาดโดยอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรจะถูกกำหนดขึ้นเป็นระยะๆ เช่น ทุก 3 หรือ 6 เดือน ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรจะเปลี่ยนแปลงไปตามอัตราดอกเบี้ยในตลาดและอาจเชื่อมโยงกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรืออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลในขณะนั้นๆ ก็ได้แล้วแต่เงื่อนไขที่กำหนดไว้เช่น กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3 เดือน Libor และ 0.25% หากในวันกำหนดอัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ย เงินกู้ในตลาด Londonระยะ 3 เดือน (3 Mouth Libor) = 5.25% อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรนี้จะเท่ากับ 5.50% (5.25+025) สำหรับ 3 เดือน ข้างหน้า ผู้ลงทุนซื้อตราสารประเภทนี้จะได้ผลตอบแทน ลักษณะเดียวกันผลตอบแทนในตลาดเงิน Frns
3.4 Droplock Issues เป็นพันธบัตรที่ออกจำหน่ายโดยใช้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคาร ซึ่งเปลี่ยนไปตามตลาดบวกข้อดีของพันธบัตรเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ การออกพันธบัตรนี้ผู้กู้จะขอกู้ธนาคารโดยจ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามตลาดเงินให้แก่ธนาคาร แต่มีเงื่อนไขว่าหากอัตราดอกเบี้ยลดลงมาถึงระดับหนึ่ง ผู้กู้มีสิทธิเปลี่ยนเงินกู้ธนาคารจำนวนนี้ไปเป็นพันธบัตรเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่แทน ซึ่งทำได้โดยให้ผู้กู้ออกพันธบัตรเงินกู้เพื่อหาเงินมาชำระเงินกู้ธนาคาร (Refinance)
3.5 Rising Coupon Issues พันธบัตรนี้จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เมื่อระยะเวลาผ่านไป เช่น พันธบัตรเงินกู้อายุ 10 ปี โดย 2 ปีแรกจะจ่ายอัตราดอกเบี้ย 10% ปีที่ 3-4 จ่ายดอกเบี้ย 12% และอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ จนครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งเทคนิคนี้เหมาะกับธุรกิจที่มีปัญหากระแสเงินสดเข้าน้อยใน ระยะแรกๆ ของการออกพันธบัตรเงินกู้
3.6 Currency Conversions/Option Bonds เป็นตราสารที่ออกกู้ในเงินตราสกุลหนึ่งและสามารถเปลี่ยนตราสารเงินกู้นี้ให้เป็นตราสารเงินกู้อีกสกุลหนึ่งได้ในอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ เช่นเดียวกับการจ่ายดอกเบี้ยเงินของดอกเบี้ยที่จ่ายจะเปลี่ยนไปตามที่กำหนดไว้เช่นกัน เช่น ผู้ออกตราสารเงินกู้ สกุล US$ อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 9% ในวงเงิน $200 ล้าน โดยมีเงื่อนไขจะจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นคืนเป็นเงินเยน สกุล US$ อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 9% ในวงเงิน $200 ล้าน โดยมีเงื่อนไขจะจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นคืนเป็นเงินเยน เริ่ม
ตั้งแต่ปีที่ 2 โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน US$ 1 ต่อ 100 เยน ข้อดีของพันธบัตรนี้คือ ผู้ลงทุนจะมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนลดลง โดยเฉพาะผู้ลงทุน ที่ใช้เงินเยนเป็นหลักและเมื่อเงินเยนมีแนวโน้มแข็งขึ้น
3.7 Tranche Issue พันธบัตรที่ออกจำหน่ายเป็นช่วง ๆ เพื่อสอดคล้องกับความต้องการใช้เงินของธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ โดยอัตราดอกเบี้ยจะแตกต่างไปตามระยะเวลาที่ออกจำหน่าย เช่น ธุรกิจมีความต้องการใช้เงินทุน US$ 500 ล้าน ในระยะ 5 ปี โดยระยะปีแรกต้องการใช้เงิน US$ 100 ล้าน ปีต่อไปต้องการอีก US$ 100 ล้าน ปีต่อไปกู้อีก US$ 100 ล้าน และออกพันธบัตรเพิ่มในปีต่อมา เมื่อต้องการใช้เงิน การออกพันธบัตรนี้จะเห็นได้ในตลาดพันธบัตรยูโร
3.8 Zero Coupon Bonds เป็นตราสารการเป็นหนี้ที่ไม่มีอัตราดอกเบี้ยตราไว้ ผู้กู้จะจ่ายชำระเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดเพียงครั้งเดียว ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยตลอดอายุของตราสาร ตราสารประเภทนี้จะจำหน่ายให้แก่ผู้ลงทุน ข้อดีสำหรับผู้ลงทุนคือ ผู้ลงทุนไม่มีความเสี่ยงด้านการลงทุนต่อ (Reinvestment Risk)
3.9 Perpetual เป็นพันธบัตรที่ไม่มีอายุหรือวันชำระเงินต้นคืน มีทั้งพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่กำหนดอยู่และพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
3.10 Variable Rate Notes (VRNS) เป็นตราสารที่ไม่มีกำหนดชำระคืน โดยอัตราดอกเบี้ยจะอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาดลอนดอนเป็นส่วนใหญ่ เช่น Libor และ X% อัตราดอกเบี้ยจะเป็นเท่าใดขึ้นอยู่กับข้อตกลงของผู้ให้กู้และผู้กู้
3.11 Index-Linked Bonds เป็นพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยและการจ่ายชำระคืนผูกพันกับดัชนีค่าครองชีพ เช่น รัฐบาล U.K. ได้ออกพันธบัตรรัฐบาลโดยอัตราดอกเบี้ยและการจ่ายชำระเงินต้นคืนผูกกับดัชนีราคาสินค้าขายปลีก (Retail Price Index-RPI) ของ U.K. คือ อัตราดอกเบี้ยเงินต้นการจ่ายชำระคืนจะผันแปรตามดัชนีราคาสินค้าขายปลีก
3.12 Medium Term Notes (MTNS) เป็นพันธบัตรที่มีคุณสมบัติของพันธบัตรระยะยาว (Bonds) แต่มีวิธีการออกจำหน่ายแบบตราสารพาณิชย์ระยะสั้น (Short Term Commercial Paper) โดยออกจำหน่ายเมื่อตลาดมีความต้องการและผู้กู้ต้องการใช้เงินทุนเป็นตราสารเป็นหนี้ที่โอนเปลี่ยนมือได้ โดยการส่งมอบ (Bearer Form) มีอายุระหว่าง 9 เดือน 30 ปี แต่ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 18 เดือน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยมีทั้งอัตราคงที่หรืออัตราดอกเบี้ยลอยตัวก็ได้ ขนาดของ MTNS อยู่ระหว่าง 250 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา